10 ข้อควรรู้ ! มือใหม่เปิดร้านอาหาร เริ่มต้นยังไงดี ?

อยากเปิดร้านอาหาร เริ่มต้นยังไงดี มีเรื่องอะไรบ้างที่ควรรู้ สำหรับทำธุรกิจร้านอาหารแบบมืออาชีพการวางแผนให้ดีก่อนเริ่มต้นจึงเป็นเรื่องสำคัญมาก และใครที่ยังไม่รู้ว่าควรจะเริ่มต้นยังไงดี ต้องศึกษาเรื่องอะไรก่อนบ้าง วันนี้ Saha Stainless มีแนวทางสำหรับคนอยากเปิดร้านอาหารมาฝาก

1. ขายอะไรดี ?

คำถามแรกที่คุณต้องตอบให้ได้ก่อนจะตัดสินใจเปิดร้านอาหาร คือ จะขายอะไร อาหารประเภทไหน มีเมนูอะไรบ้างที่เป็นจุดเด่นของร้าน และที่สำคัญใครคือกลุ่มลูกค้าของเรา เรื่องนี้ไม่มีคำตอบตายตัว แต่โดยทั่วไปแล้วเรามักจะเลือกขายอาหารที่ตัวเองมีความถนัด ทำได้ดี หรือมีสูตรลับเฉพาะที่ไม่ เหมือนใคร ขายกี่เมนู นอกจากนี้จะส่งผลถึงห้องครัวว่าควร ใช้แบบไหน ขนาดเท่าไหร่ ให้เหมาะสมกับเมนูอาหารและพื้นที่

2. หาทำเลที่ใช่

“ทำเล” เป็นสิ่งที่สำคัญลำดับต้น ๆ เลยก็ว่าได้ โดยสิ่งที่ควรพิจารณาในการเลือกทำเลก็มีทั้ง ความพลุกพล่านของผู้คน ควรสำรวจดูว่าในแต่ละวัน ในแต่ละช่วงเวลา มีคนสัญจรผ่านไปมามากน้อยแค่ไหน ถ้ามีคนเยอะ ๆ เฉพาะช่วงเย็น หรือเฉพาะวันเสาร์-อาทิตย์ ก็ต้องพิจารณาดี ๆ ว่าจะคุ้มไหม

  • กลุ่มเป้าหมายบริเวณนั้น
  • อัตราค่าเช่า
  • มีที่จอดรถหรือเปล่า
  • จำนวนร้านอาหารคู่แข่ง
  • ระยะจากแหล่งวัตถุดิบมากอย่างไรก็ตาม แม้ทำเลจะดีขนาดไหน ก็อย่าลืมว่าทำเลนั้นต้องเหมาะสมกับประเภทอาหารและรูปแบบร้านของเราด้วย
3. เตรียมเงินทุนให้พร้อม

ฝันจะไม่สามารถเป็นจริงได้เลย ถ้าปราศจากเงินทุน โดยแหล่งเงินทุนอาจจะมาทั้งจากเงินเก็บส่วนตัว ทุนจากครอบครัว เงินหุ้นส่วนกับเพื่อน หรือหากใครที่ไม่มีทุนเป็นของตัวเอง ก็สามารถเลือกใช้ตัวช่วยอย่าง สินเชื่อสำหรับธุรกิจของธนาคารต่าง ๆ แต่ส่วนใหญ่จำเป็นต้องมีหลักทรัพย์ค้ำประกันด้วย ฉะนั้น การตัดสินใจกู้เงินมาเปิดร้านอาหารจึงต้องพิจารณาให้ถี่ถ้วน

ทั้งนี้ แนะนำว่าไม่ควรนำสินเชื่อส่วนบุคคล เช่น บัตรเครดิต หรือ บัตรกดเงินสด มาใช้เป็นเงินทุนสำหรับทำธุรกิจ เนื่องจากมีอัตราดอกเบี้ยสูงมาก 

4. เลือกแหล่งวัตถุดิบ

การซื้อวัตถุดิบเป็นสิ่งที่ต้องคำนวณให้ดี ๆ ว่าจะเลือกใช้รูปแบบไหน คือ จะเดินทางไปซื้อที่แหล่งด้วยตัวเอง หรือเดี๋ยวนี้มักมีบริการจัดส่งให้ถึงหน้าร้านเลย ซึ่งดูเหมือนจะแพงกว่า แต่หากลองคิดค่าใช้จ่ายในเดินทางและเวลาที่เสียไปแล้ว บางทีการเลือกบริการจัดส่งก็อาจจะคุ้มค่ากว่าก็ได้ 

นอกจากนี้ ยังมีเรื่องการสต็อกวัตถุดิบให้เหมาะสมด้วย ซึ่งหากสามารถจัดสรรได้ดี ก็จะช่วยประหยัดต้นทุนไปได้เยอะทีเดียว แต่ต้องอย่าลืมคำนึงถึงคุณภาพวัตถุดิบด้วย

5. มองหาพนักงานที่เหมาะกับร้าน

แม้หลายคนอาจจะคิดว่าเราสามารถทำทุกอย่างได้ด้วยตัวคนเดียว แต่หากอยากให้ร้านเติบโตขึ้นแล้ว ยังไงก็จำเป็นต้องจ้างพนักงานมาช่วย โดยพนักงานร้านอาหารที่จำเป็นต้องมี อย่างเช่น พ่อครัว เด็กเสิร์ฟ คนล้างจาน แคชเชียร์ เป็นต้น

แน่นอนว่าหากตั้งใจจะเป็นเจ้าของธุรกิจแล้ว สิ่งสำคัญคือต้องบริหารคนให้ได้ และการมีพนักงานที่ดี ก็จะยิ่งช่วยส่งเสริมร้านให้ดีขึ้นไปด้วย 

6. วิธีการตั้งราคาอาหาร

ราคาอาหารเป็นหัวใจสำคัญที่จะบอกได้เลยว่าร้านจะเดินหน้าต่อได้ดีขนาดไหน เพราะหากตั้งราคาต่ำไปก็ได้กำไรน้อย แต่ถ้าตั้งสูงเกินไปอาจกลายเป็นว่าขายได้ไม่ดี ไม่มีลูกค้าเข้าได้เช่นกัน ดังนั้น อาจจะเปรียบเทียบกับร้านอื่น ๆ ในท้องตลาดควบคู่กันไปว่าแต่ละร้านขายกันเท่าไหร่ รวมถึงดูกลุ่มลูกค้าของเราด้วยว่าเป็นใคร มีกำลังซื้อมากน้อยแค่ไหน
โดยทั่วไปแล้ววิธีง่ายที่สุด มักจะตั้งราคาโดยบวกจากต้นทุนค่าใช้จ่ายขึ้นไป 15 – 30%

7. เข้าใจการบริหารต้นทุนค่าใช้จ่าย

แม้ร้านอาหารของเราจะขายดิบขายดีขนาดไหน แต่หากไม่สามารถควบคุมต้นทุนค่าใช้จ่ายได้ ก็อาจส่งผลให้ร้านต้องหยุดชะงักเอาได้ง่าย ๆ โดยต้นทุนแบ่งเป็น 2 ส่วนหลัก ๆ ได้แก่

  • ต้นทุนคงที่ (Fixed Cost) เช่น ค่าตกแต่งร้าน ซื้ออุปกรณ์เครื่องใช้ เงินมัดจำเช่าสถานที่ ค่าขอใบอนุญาตต่าง ๆ
  • ต้นทุนหมุนเวียน (Variable Cost) เช่น ซื้อวัตถุดิบที่ใช้ทำอาหาร เงินเดือนพนักงาน ค่าน้ำ-ค่าไฟ

ทั้งนี้ ควรจะต้องบริหารเงินทั้ง 2 ส่วนให้ลงตัว ซึ่แนะนำว่าควรมีเงินสำรองอย่างน้อย 6 เดือน

8. สร้างจุดเด่นให้ร้าน

ร้านอาหารเป็นธุรกิจที่แข่งขันสูงมาก ฉะนั้นเพียงแค่อาหารรสชาติอร่อยบางทีอาจไม่เพียงพอ การสร้างจุดขายอื่น ๆ ให้ร้าน จะช่วยดึงลูกค้าได้มากขึ้น ซึ่งมีหลายเทคนิค อาทิ การตั้งชื่อร้านให้เป็นที่จดจำ ดีไซน์ร้านแบบมีเอกลักษณ์ ปรับเปลี่ยนเมนูให้ดูแปลกใหม่ขึ้น รวมถึงการทำการตลาดให้เข้ากับไลฟ์สไตล์คนยุคใหม่ เพื่อเรียกยอดไลก์ ยอดแชร์ ให้ลูกค้ารู้สึกจดจำร้านของเรา

9. จดทะเบียนขอใบอนุญาตให้ถูกต้อง

เรื่องสำคัญที่หลายคนมองข้ามคือการจดทะเบียนขอใบอนุญาตต่าง ๆ ให้ถูกต้อง ซึ่งการเปิดร้านอาหาร มีใบอนุญาตที่ต้องขอดังนี้

จดทะเบียนพาณิชย์ ธุรกิจร้านอาหารจะต้องยื่นขอจดทะเบียนพาณิชย์ ภายใน 30 วันนับแต่เริ่มกิจการ สำหรับในกรุงเทพฯ ยื่นจดได้ที่สำนักงานเขตที่ร้านตั้งอยู่ ส่วนต่างจังหวัดยื่นจดได้ที่เทศบาลหรือองค์การบริหารส่วนตำบลที่ร้านตั้งอยู่ โดยมีค่าธรรมเนียม 50 บาท

หลักฐานที่ต้องใช้ที่ต้องใช้ (สำหรับบุคคลธรรมดา)

  • แบบ ทพ.
  • สำเนาบัตรประจำตัวประชาชนผู้ประกอบธุรกิจ
  • กรณีผู้ประกอบธุรกิจเป็นเจ้าบ้าน ให้แสดงทะเบียนบ้านต่อนายทะเบียน แต่ถ้าไม่ได้เป็นเจ้าบ้านต้องแนบเอกสารเพิ่มเติม คือ หนังสือให้ความยินยอมใช้สถานที่ตั้งสำนักงานแห่งใหญ่, สำเนาสัญญาเช่าสถานที่ตั้งสำนักงานแห่งใหญ่
  • แผนที่แสดงสถานที่ใช้ประกอบธุรกิจ และสถานที่สำคัญบริเวณใกล้เคียง
  • หนังสือมอบอำนาจ (ถ้ามี)

ใบอนุญาตสถานที่จำหน่ายอาหารและสะสมอาหาร ในกรณีที่ร้านมีขนาดเกิน 200 ตารางเมตรขึ้นไป ต้องขอใบอนุญาตสถานที่จำหน่ายอาหารและสะสมอาหาร ได้ที่สำนักงานเขต เทศบาล หรือ องค์การบริหารส่วนตำบลที่ร้านอาหารตั้งอยู่ มีค่าธรรมเนียม 2,000 – 3,000 บาท/ปี

หลักฐานที่ต้องใช้

  • สำเนาบัตรประจำตัวประชาชนและสำเนาทะเบียนบ้านของผู้รับใบอนุญาต
  • สำเนาทะเบียนบ้านของบ้านที่ใช้เป็นที่ตั้ง
  • หนังสือยินยอมให้ใช้อาคารหรือสำเนาหนังสือสัญญาเช่าจากเจ้าของอาคาร
  • หนังสือมอบอำนาจ พร้อมสำเนาบัตรประจำตัวประชาชนของผู้มอบอำนาจและผู้รับมอบอำนาจ (กรณีไม่สามารถยื่นคำขอด้วยตนเอง)
  • ผลการตรวจสุขภาพหรือใบรับรองแพทย์ของพนักงานผู้สัมผัสอาหาร
  • สำเนาใบวุฒิบัตรผู้ผ่านการอบรมหลักสูตรการสุขาภิบาลอาหารของกรุงเทพมหานคร (ถ้ามี)
  • แผนที่แสดงสถานที่ตั้งสถานประกอบการ
  • ใบอนุญาตจากส่วนราชการอื่นที่เกี่ยวข้อง (ถ้ามี)

ใบอนุญาตจำหน่ายสุรา สำหรับร้านอาหารที่มีการขายเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ โดยยื่นขอได้ที่สำนักงานสรรพสามิตพื้นที่สาขาที่ร้านอาหารตั้งอยู่ โดยค่าธรรมเนียมจะคิดตามปริมาณแอลกอฮอล์ที่ขาย

หลักฐานที่ต้องใช้

  • สำเนาบัตรประจำตัวประชาชน
  • สำเนาทะเบียนบ้านที่ใช้เป็นร้านค้า
  • ถ้าเป็นร้านค้าเช่า ให้นำหลักฐาน ดังนี้
  • สัญญาเช่าบ้าน พร้อมสำเนาบัตรประชาชนของผู้ให้เช่า
  • หนังสือยินยอมของผู้ให้เช่า
10. เข้าใจเรื่องภาษี

ร้านอาหารเมื่อมีรายได้ ภาษีคือสิ่งที่ต้องตามมาอย่างเลี่ยงไม่ได้ ทั้งนี้ กรณีที่เปิดร้านอาหารในรูปแบบบุคคลธรรมดา จะมีภาษี 2 ส่วนหลัก ๆ ที่ต้องรู้ ได้แก่

  • ภาษีเงินได้บุคคลธรรมดา รายได้จากการเปิดร้านอาหารจะเข้าข่ายเงินได้ประเภทที่ 8 กลุ่มกิจการภัตตาคาร ร้านอาหารและเครื่องดื่ม รวมถึงโรงแรม สามารถหักค่าใช้จ่ายแบบเหมา 60% หรือหักตามจริง โดยคำนวณภาษีแบบขั้นบันไดในอัตรา 0 – 35% เช่นเดียวกับมนุษย์เงินเดือนทั่วไป คือ มีเงินได้สุทธิตั้งแต่ 150,000 บาทต่อปีขึ้นไปถึงจะโดนหักภาษี 
  • ภาษีมูลค่าเพิ่ม หากมีรายได้เกิน 1.8 ล้านต่อปี จะต้องจดทะเบียนภาษีมูลค่าเพิ่ม (VAT) ด้วย และจะต้องยื่นเสีย VAT 7% จากยอดขายทุกเดือน ซึ่งจะต้องนำใบกำกับภาษีไปยื่นเพื่อเสียภาษีแก่กรมสรรพากรภายในวันที่ 15 ของเดือนถัดไป

การเริ่มต้นธุรกิจร้านอาหารอาจดูเป็นหนทางที่ยากและน่ากังวล แต่เมื่อมีการวางแผนและเตรียมตัวในด้านต่าง ๆ ให้พร้อม สร้างความแตกต่างให้แก่ร้านของเราได้ หนทางและความสำเร็จก็อยู่ไม่ไกลเกินเอื้อมแน่นอน

Share